เทศน์บนศาลา

ปั้นดินเป็นดาว

๔ ม.ค. ๒๕๕๘

ปั้นดินให้เป็นดาว

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เราตั้งใจฟังธรรมเพื่อเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมไง การจะประพฤติปฏิบัติธรรม เห็นไหม เราเป็นสาวก สาวกะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ธรรมและวินัยไง เราจะประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีแนวทางของเรา ถ้ามีแนวทางของเรานะ เราปฏิบัติตามความเป็นจริง

ถ้าเป็นความเป็นจริง เห็นไหม สิ่งใดเป็นความจริงกับความจริงจะเข้ากัน แต่ถ้าเป็นความจอมปลอมกับความจอมปลอมมันจะเข้ากัน เห็นไหม น้ำกับน้ำมันมันไปกันไม่ได้หรอก ฉะนั้น กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ในหัวใจของเรา เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันถึงได้เวียนว่ายตายเกิด

ฉะนั้น กิเลสของคนมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด กิเลสอย่างหยาบๆ เห็นไหม ดูสิ คนที่เขามีทิฐิมานะของเขา เขาเห็นว่าตัวตนของเขาเป็นใหญ่ เขาจะเอาตัวตนของเขาเป็นที่ตั้ง เห็นไหม นั้นเป็นเพราะว่าเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเขาไม่ได้ประโยชน์สิ่งใด ไม่ได้ประโยชน์ตามความเป็นจริงของเขาที่เขาควรจะได้ แต่คนที่เป็นอย่างกลางๆ เห็นไหม กิเลสของเขา เขาก็มีของเขาอยู่ แต่เวลาเขาเกิดมาแล้ว เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขาก็ทำบุญกุศลของเขาไป นี่เขาก็รักษาชีวิตของเขาไป เห็นไหม นี่เป็นเรื่องโลกๆ 

แต่ถ้าคนที่จิตใจกิเลสมันเบาบาง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน มันก็มีความทุกข์ความยากเหมือนกัน เพราะความทุกข์ความยากเป็นสัจจะเป็นความจริง คนเกิดมา เห็นไหม คลอดจากช่องคลอดของแม่มา กว่าจะได้ชีวิตนี้มามันก็จวนเจียนจะเป็นจะตายออกมานั่นแหละ เวลาออกมาแล้ว กำเนิดมาแล้ว เราได้ดำรงชีวิตของเรามา มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ชีวิตนี้เป็นสัจจะเป็นความจริงอันหนึ่ง ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงอันหนึ่ง คนเราเวลาลุ่มหลงไปก็ว่าชีวิตนี้จะเป็นของของเรา ชีวิตนี้จะมีคุณค่าของเขาไป เขาหลงใหลในชีวิตของเขาไป เห็นไหม แต่กิเลสของเรามันเบาบาง เกิดมาก็เป็นทุกข์เหมือนกัน 

ในเมื่อมนุษย์เกิดมามันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย คำว่า “มีปัจจัยเครื่องอาศัย” คนมีบุญพาเกิด เห็นไหม เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมา ชีวิตของเขาก็ราบรื่น ชีวิตของเขา เขาก็สะดวกสบายของเขา แต่ในใจของเขาก็รุ่มร้อนทั้งนั้น ในใจของเขา เห็นไหม จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ในเมื่อมันเป็นกิเลสมันเผาลนใจอยู่ มันมีความทุกข์ทั้งนั้น ความทุกข์ในหัวใจมันมีประจำธาตุขันธ์ของมัน มันมีของมันอยู่แล้ว ทุกข์คือความทนไว้ไม่ได้ ทุกข์คือว่าสิ่งที่เราทนไม่ไหว นั่นคือความทุกข์ แล้วมันมีสิ่งใดบ้างที่เราทนได้ เราทนไม่ได้หรอก เราทนไม่ได้สักอย่างหนึ่ง 

แต่เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง โดยสัญชาตญาณของเรา เราเปลี่ยนแปลงตัวตนตลอดเวลา เห็นไหม เวลาขบเวลาเมื่อยเราก็เปลี่ยนท่าเปลี่ยนทางของเราไป เห็นไหม เวลายิ่งเดี๋ยวนี้โลกเจริญ สิ่งใดถ้าเราคาบช้อนเงินช้อนทองมา เรามีเงินมีทองอยู่เขาจะมาบริการสิ่งใด เราก็เสพสุขว่ามันจะมีความสุข ความสุขของเราไง มันเป็นความสุขของเรา ถ้าจิตใจเรากระด้าง จิตใจเราหยาบ เราก็ว่านี่เป็นความสุขของเรา เพราะความสุขประจำธาตุขันธ์ ความสุขประจำโลก มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาหรอก แล้วเราหาความสุขไม่เป็นไง เราหาความจริงไม่เป็นไง จิตใจมันจอมปลอมอย่างนั้น มันจะเอาความจริงมาจากไหนล่ะ 

แต่ถ้าจิตใจที่ เห็นไหม เบาบาง เห็นไหม จิตใจเป็นความจริง เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติในวัด เรามาอดนอนผ่อนอาหาร เรามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเป็นความสุขจริงๆ หรือ มันเป็นความสุขของทางโลกเขาหรือ โลกเขาเห็นว่าเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่เพราะเราจิตใจเราเบาบางไง จิตใจเราเบาบาง เราตั้งใจของเรานะ 

ถ้าเราตั้งใจของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธ-ศาสนาสอน สอนตั้งแต่เรื่องของทาน เรื่องของโลกเขา เรื่องของทานนะ อนุปุพพิกถา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม คนเขาจะเชื่อไง เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ใครมันจะรู้ได้ มันละเอียดลึกซึ้งขนาดที่ว่าใครมันจะรู้ได้ ถ้าใครมันจะรู้ได้นี่เสวยวิมุตติสุข เห็นไหม ทอดธุระเลยล่ะ 

แต่สุดท้ายแล้ว พรหมมานิมนต์ ๑ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ๑ ถึงเทศนาว่าการ เทศนาว่าการไปเอาปัญจวัคคีย์ก่อน ได้พระอรหันต์มา ๕ องค์ ไปเอายสะได้มาอีก ๕๕ องค์ นี่ ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เผยแผ่ธรรมๆ มาไง นี่เวลาได้พระอรหันต์ 

แต่เวลาออกไปแล้ว เห็นไหม เวลาโลกเขาเร่าร้อนๆ โลกเร่าร้อนเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแผดเผา จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง ถ้าคนมั่งมีศรีสุข เห็นไหม เวลาเขาความทุกข์ ความทุกข์เพราะกิเลสมันเผาลนในหัวใจ คนที่ทุกข์จนเข็ญใจเขาก็ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ของเขา เขาก็ต้องแสวงหา แสวงหาแล้วยังมาน้อยเนื้อต่ำใจอีกว่า ชีวิตเรามันทุกข์ยากขนาดนั้น นี่มันเผาลน เห็นไหม มันแบ่งชนชั้นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยทิฐิมานะของคนก็แบ่งชนชั้น แบ่งชนชั้นมันก็มีคนสูงคนต่ำ ถ้าคนสูงคนต่ำนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลสมันแบ่งข้างไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไป จะทุกข์จนเข็ญใจ จะเศรษฐีกระฎุมพีขนาดไหน มาบวชแล้วมีค่าเสมอกัน เวลาบวชเป็นพระศีล ๒๒๗ เสมอกัน สิ่งที่ศีล ๒๒๗ เสมอกัน เรามีโอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่เราบวชเป็นพระแล้ว เราบวชมาแล้วนี่เราจะศึกษา เราจะต้องการศึกษามาเป็นวินัยธร นี่ธรรมกถึกกับวินัยธร ธรรมและวินัย เรามีเป้าหมายของเรา เราจะทำสิ่งใดไง ถ้าทำสิ่งใดทำจริงของเรามันก็เป็นความจริงของเราขึ้นมา

ฉะนั้น มันไม่มีสูงมีต่ำ ธรรมวินัยนี้ไม่มีสูงมีต่ำ จะทุกข์จนเข็ญใจ มั่งมีศรีสุขขนาดไหน บวชแล้วมีค่าเท่ากันนี่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ถือศีล ๒๒๗ เหมือนกัน นี่เราจะรบกันรบด้วยคุณธรรม

ภิกษุบวชใหม่ เห็นไหม ทนคำสอนได้ยากๆ เพราะเราเคยชินกับทางโลก เราเคยชินกับทางโลก เห็นไหม ยิ่งปัจจุบันนี้ เห็นไหม นี่สิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยมีค่ามีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากัน มันเท่ากันโดยทฤษฎี แต่ความจริงมันเท่ากันไม่ได้หรอก เพราะคนมีเวรมีกรรม คนที่เขามีพรรคพวก เขามีมวลชนของเขา หนึ่งเสียงของเขา เขาสามารถชักนำให้คนเห็นตามเขาไปได้ นี่กำปั้นใหญ่ กำปั้นเล็ก มันมีของมันทั้งนั้นน่ะ นี่เรื่องโลก 

แล้วเขาบอก “ประชาธิปไตยๆ” มันก็คิดกันไปเองไง เรื่องโลกไง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะเหตุใด มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันมีกรรม นี่กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณมันมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คนมีเวรมีกรรมมานี่ แล้วเขาบอกว่าประชาธิปไตย แล้วมันจะลบล้างให้เสมอกันไปหมดเลย ทุกคนจะมีค่าเท่ากันโดยความเป็นประชาธิปไตย มันก็เป็นความนึกคิดไง แต่ว่าเป็นทางโลก โลกเขาเป็นการปกครอง พระห้ามเล่นการเมือง นี่ก็ไม่ได้พูดถึงการเมือง นี่พูดถึงธรรมะ พูดถึงธรรมะให้ความทิฐิมานะของคนไง คนมันมีทิฐิมานะ เวลามันจะเอาผลประโยชน์ มันก็เอาเรื่องประชาธิปไตยมาบังหน้า แล้วสุดแล้วมันก็ไปเอารัดเอาเปรียบคนอื่นไง ดูกิเลสตัณหาความทะยานอยากสิ เห็นไหม 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์ไง หัวใจของสัตว์ที่มันเวียนว่ายตายเกิด สัตว์โลกนี่ผู้ข้อง สัตตะผู้ข้องนี่จะชักนำสิ่งนี้ให้ปฏิบัติ 

ทีนี้เราเอาเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม นี่ก็ปั้นดินให้เป็นดาว เวลาทางโลกเขา เวลาเขาส่งเสริมกัน เห็นไหม จะปั้นดินให้เป็นดาว มนุษย์ด้วยกันมันแบ่งชนชั้นไง แบ่งชนชั้นมันสูงมันต่ำไง นี่ก็เหมือนกัน เขาจะปั้นดินให้เป็นดาว นี่ดินก็สามัญชนไง เวลาเขาจะปั้นดินให้เป็นดาว เขาต้องมีแมวมองของเขา เขาเอามาแล้ว เขาต้องมาปั้นของเขา เขาต้องมาฝึกหัดของเขา เขาต้องลงทุนลงแรงของเขา เพื่อเป็นผลประโยชน์ของเขา นี่ทางธุรกิจของเขา เห็นไหม ปั้นดินให้เป็นดาว

นี่ปั้นดินให้เป็นดาวมันต้องลงทุนลงแรง มันต้องมีการกระทำใช่ไหม ทำแล้วประสบความสำเร็จก็มี ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็มี ไปแล้วครึ่งๆ กลางๆ ก็มี เวลาไปแล้วมันมีปัญหากัน มันมีการแตกแยกกันในการทำงานก็มี ขนาดว่าปั้นดินเป็นดาว เราจะปั้นดินเป็นดาว เรายังจะต้องลงทุนลงแรงในการทำของเขาเพื่ออะไร ก็เพื่ออาชีพ เพื่อชื่อเสียงเพื่อกิตติคุณ อยากจะยกว่าชนชั้นสูงชั้นต่ำอยากจะขึ้นชั้นสูงขึ้นมา เวลาปั้นดินให้เป็นดาวขึ้นแล้ว ขึ้นเป็นดาวแล้วดาวมันก็ตก ถึงเวลาดาวมันก็ตกจากฟ้า ถ้ามันปั้นขึ้นไปได้ เห็นไหม 

นี่พูดถึงทางโลก ทางโลกเขาทำมาหากิน เขาต้องทำทุกข์ทำยากเหมือนกันอยู่แล้ว เขาทำมาหากินเขาก็มีปัญญาชนไง เขามีสติปัญญาไง เขาเป็นคนดีไง เขาทำมาหากินไง

เรา ของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็จะมาทอดทิ้ง เห็นไหม มาละจากโลก จะไปถือพรหมจรรย์ จะไปประพฤติปฏิบัติ คนนี้ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถ ถึงได้หนีโลก มันเป็นปัญหาโลกแตกทั้งนั้น ปัญหาโลกแตกของกิเลสไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ความจริง เราเอาจริงเอาจังของเรา มันไม่เป็นปัญหาโลกแตกหรอก มันเป็นความจริงของเรา ความจริงเราประพฤติปฏิบัติต้องปฏิบัติความจริง ให้มันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงได้มากได้น้อย เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี่ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานี่ศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษาเล่าเรียนมาทางปริยัติ ปริยัตินี่ทางวิชาการทั้งนั้นน่ะ เวลาศึกษาขึ้นมา เขาปั้นดินให้เป็นดาวทางโลก ทางโลกเขาปั้นดินให้เป็นดาวแล้วก็มีอุปสรรค อุปสรรคขัดขวางไปตลอด แล้วเวลาเป็นดาวขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรักษาสถานะของความเป็นดาวไว้นั้น เห็นไหม จะต้องมีหน้าที่การงานคอยส่งเสริมไว้ เพื่อให้มวลชนเขาจำได้ อยากให้เป็นดาวค้างฟ้า

บวชพระมาศึกษามาภาคปริยัติ ศึกษามาแล้วศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ถ้าปัญญาการจะศึกษาทำความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ศึกษาเพื่อมาปฏิบัติ ทีนี้พอศึกษามาแล้วศึกษา ศึกษาแล้วปฏิบัติไหม ศึกษาก็คิดว่าเป็นสมบัติของเราใช่ไหม ถ้าเป็นสมบัติของเรามันจะปั้นพระให้เป็นดาวใช่ไหม มีการประชาสัมพันธ์ การแสดงตัวตน การพยายามทำผลงาน ว่าเรามีผลงานไง 

มันอยากเป็นดาว แล้วมันเป็นดาวมันค้างฟ้าอยู่เหรอ มันเป็นดาว เห็นไหม เพราะทางโลก โลกเขาคิดกันอย่างนั้น โลกเขาทำกันอย่างนั้น แล้วเราก็คิดโดยโลกไง เพราะเราเกิดมาเรามีการศึกษา ถ้ามีการศึกษานะ เราศึกษามาเป็นวิชาชีพ ศึกษามาให้มีปัญญา โลกจะเจริญด้วยการศึกษา สิ่งต่างๆ นี่ถ้าการศึกษาเข้มแข็ง การศึกษามั่นคง ชาตินั้นจะเจริญ ตอนนี้โลกเขาที่เขาความมั่นคงของเขา เขามั่นคงด้วยทางปัญญา ด้วยทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่เขาสูงส่ง เห็นไหม อย่างนั้นเขาแข่งกันทางโลกไง 

ทางโลกมันเจริญทางโลก ถ้ามันเป็นธรรมด้วยมันก็จะเป็นคุณธรรม ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมคือการเมตตา คือการเผื่อแผ่ แต่นี่มันทางโลก มันทางโลกเขาทำอย่างไร เขามีความลับทางการค้า เขาเอามาเผื่อแผ่ไม่ได้หรอก เขาต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้น ต้องการผลประโยชน์เพราะรักษาสิทธิผลประโยชน์ของเขา ในชุมชนใดชุมชนของเขา เขาต้องเห็นชุมชนของเขามีความสำคัญกว่า แต่ด้วยมารยาสาไถย นี่ปั้นดินให้เป็นดาว ปั้นดินให้เป็นดาว ก็คิดว่า เวลาแสดงมารยาสาไถยก็ว่าตัวเองเป็นธรรม ตัวเองมีมารยาท ตัวเองจิตใจเป็นธรรม จะช่วยเหลือเจือจาน 

ช่วยเหลือนี่ให้มา ๕ เอาไป ๑๐ ให้มา ๕ เอาไป ๒๐๐ ผลประโยชน์ตอบแทนเขามหาศาล ผลตอบแทนเขา เห็นไหม มันทุศีล มันไม่ซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์มันเกิดขึ้นไม่ได้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เอารัดเอาเปรียบมันจะเอาความสัตย์ เอาความจริงมาจากไหน นี่ความจอมปลอมของโลก ปั้นดินให้เป็นดาว ปั้นดินให้เป็นดาว บวชพระมาแล้วมาศึกษาแล้วก็อยากจะเป็นดาว อยากจะเป็นดาว มันทำอะไร มันทุศีลทั้งนั้น ทุศีลเพราะมันไม่เป็นความจริงไง 

ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา เราไปเรียกร้องเอาสิ่งใดมาไม่ได้ ธรรมะในสมัยพุทธกาลนะ เวลาพระนี่ไปกวนบ้านกวนเมือง พอไปกวนบ้านกวนเมืองนะ ชาวบ้านเขาเห็น เห็นวัวเห็นควายเดินผ่านมา เขาตกใจนึกว่า พระมาจะมาเรี่ยไรจากเขา เขาแตกบ้านหนีเลย นี่อยู่ในธรรมบทเยอะแยะ

นี่จะมาปั้นดินให้เป็นดาว ปั้นดินให้เป็นดาว บวชพระมาแล้วก็อยากมีศักยภาพ อยากจะเป็นดาว นี่ไง นี่มันเรื่องโลก ปฏิบัติก็ปฏิบัติก็โลกๆ อยากจะมีผลงาน อยากให้เขารู้จัก ทำสิ่งใดก็จะให้เขามองหน้าแล้วมันเป็นจริงไหม มันไม่เป็นจริง เพราะจิตใจมันสกปรก เพราะจิตใจมันสกปรกมันก็ทุศีล ถ้าทุศีล ศีล สมาธิ ปัญญามันจะเอามาจากไหนล่ะ ในเมื่อศีลมันไม่บริสุทธิ์ ศีลมันไม่เป็นความจริง 

ถ้ามันเป็นความจริงมันซื่อสัตย์ ถ้าเราศึกษามา ศึกษา มันต้องศึกษาอย่างนี้ ศึกษามาแล้วมันอยู่ที่เจตนา คนเรามีความรู้สึกนึกคิด เพราะความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม มันเกิดจากจิต โดยสัญชาตญาณของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดกำเนิด ๔ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ ถ้าเกิดในโอปปาติกะ สถานะมิติของโอปปาติกะ เห็นไหม ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมมา เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดของเขา เขาสื่อกันด้วยภาษาของเขา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์แม้แต่อยู่กันคนละทวีป ภาษาก็แตกต่างกัน อาหารก็แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่ว่ากวฬิงการาหาร อาหารในคำข้าวเหมือนกันทั้งนั้น ในเมื่อภพของมนุษย์ แล้วตกนรกอเวจีไปล่ะ นี่กำเนิด ๔ ในเมื่อจิตมันเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม ในสถานะของมนุษย์มันมีความรู้สึกนึกคิดอยู่แล้ว ถ้าความรู้สึกนึกคิด ถ้าศึกษาด้วยปัญญาๆ ปัญญาศึกษามาด้วยวิชาชีพ แข่งขันกันด้วยปัญญา โลกเจริญๆ ด้วยการศึกษา ด้วยปัญญา เขาเจริญทางโลก

ทีนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราศึกษานะ ถ้าศึกษา เห็นไหม เดี๋ยวนี้เขาจะส่งเสริมการศึกษา ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ศึกษามาเขาต้องให้ประชาชนมีการศึกษา ต้องศึกษานักธรรมกันหมด เพื่อจะให้ชาวพุทธเข้มแข็ง ให้ชาวพุทธมีหลักการ ไม่ให้ใครมาฉ้อฉล ไม่ให้ใครมาชักจูง เขาพยายามให้การศึกษา ศึกษามันเป็นประโยชน์

ศึกษาทางโลก เพราะศึกษาด้วยสมอง ศึกษาด้วยทางโลก ทางโลกเขาศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์ เขาก็ศึกษาด้วยสมอง ศึกษาด้วยสัญญา ศึกษาด้วยการค้นคว้าวิจัย เขาศึกษาธรรมะมา ศึกษาเพื่อปฏิบัติ แล้วทางโลกเขาศึกษามา ศึกษามาเพื่อเป็นปัญญา ปัญญาการครองโลก ปัญญาการครองเรือน เห็นไหม มีศีล ๕ มีศีล ๘ มีคารวะ ๖ มีต่างๆ เพื่อให้จิตใจมันเป็นธรรม

นี่ศึกษาพุทธประวัติ ศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ชีวิตทั้งชีวิตทำมาเพื่ออะไร ชีวิตทั้งชีวิตเวลาเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จทางชีวิต ชีวิตทางโลกด้วย ชีวิตทางธรรมด้วย แล้วผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วได้ผลจริงขึ้นมา ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง ศึกษามาเพื่อมาอบอุ่นไง 

ถ้าศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มันจะซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อศีลต่อธรรม แต่ศึกษามาเพื่อเป็นดาว เพื่อต้องการให้เขาเคารพนบนอบ เพื่อต้องการผลงาน เพื่อจะให้เขารู้จัก รู้จักไปทำไม ดาวเดี๋ยวมันก็ตก ดาวที่ไหนมันจะค้ำฟ้า มันอยู่ในวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้มันต้องตายเลย แล้วเราจะเอาความมั่นคงมาจากไหน 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เห็นไหม เวลาเรามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัตินะ ท่านจะปั้นหัวใจให้เป็นธรรม ไม่ปั้นให้ดินเป็นดาว ไม่ต้องปั้นว่าพระแล้วอยากให้เขามองหน้า อยากให้เขารู้จัก อยากให้โลกสรรเสริญ มันเป็นโลกธรรม ๘ ธรรมเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ มันก็มีของมันอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปก็จะมีของมันอยู่ เห็นไหม

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมอยู่ เนี่ยพวกลัทธิต่างๆ ลัทธิศาสนาต่างๆ เห็นไหม ในพระไตรปิฎกมีเยอะ มันไปกระทบกระเทือนกับชื่อเสียง กระทบกระเทือนกับความเชื่อถือของเขา เขาขัดขวาง เขาทำลายทุกๆ อย่างนั้นมันเป็นเรื่องของลัทธิต่างๆ ที่เขามีมุมมองที่แตกต่างไง 

แต่ของเรา เรามีมุมมองอย่างนั้นไหม เราศึกษาธรรมะ เขาศึกษามาจนเข้าใจหมดแล้ว แล้วมันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ในสมัยพุทธกาลมันก็มีตัวอย่างของมันอยู่แล้ว แล้วเรายังไม่เอาเป็นคติธรรมใช่ไหม ยังไม่เอาเป็นตัวอย่างอีกเหรอ ฉะนั้น ยังไม่เอาเป็นตัวอย่าง ฉะนั้น เรามีครูมีอาจารย์ใช่ไหม เราบวชมาเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ เราจะเอาความจริงของเรานะ โลกเขาปั้นดินให้เป็นดาว บวชเป็นพระมาแล้วนี่ก็จะปั้นพระให้เป็นดาว ให้เป็นผู้มีชื่อเสียง

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราจะปั้นใจให้เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรม คุณธรรม คุณธรรมมันสำคัญกว่า เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะมีชื่อเสียงคับฟ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมีชื่อเสียงระบือลือลั่น แต่ความระบือลือลั่นมันเป็นชื่อเสียงคุณธรรม ด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่ท่านปฏิบัติทำตามความเป็นจริงของท่าน แล้วท่านไปตื่นแต่ชื่อเสียงอย่างนั้นไหมท่านยิ่งกลับมาทดสอบ กลับมาตรวจสอบใจในใจของท่าน

หลวงปู่มั่นท่านเก็บเล็กผสมน้อย เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน เห็นไหม ดูสิ เวลาพระเรานี่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่บอกว่า “พระป่วย” จะฉันได้ ๕ มื้อ ๑๐ มื้อ แต่หลวงปู่มั่นเวลาท่านป่วยขึ้นมา ปกติท่านก็ฉันจังหันเป็นปกติ เวลาป่วยท่านเข้าป่าลึกเข้าไป ฉันข้าวต้มกับเกลือ แล้วฉันมื้อเดียว แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่าน แบบว่าผู้เฒ่า เห็นไหม เอาน้ำมะพร้าวอ่อน ทั้งที่ในเพลนะ ท่านบอกฉันไม่ได้ๆ ไอ้พวกตาดำๆ มันมองอยู่” ตาดำๆ ก็ลูกศิษย์ไง ตาดำๆ ก็ความเชื่อมั่นไง

นี่ดูสิ คนที่มีคุณธรรม ท่านทำเป็นตัวอย่าง ทั้งๆ ที่เป็นประโยชน์กับท่าน มันเป็นการคลายบรรเทาความอ่อนแอประจำธาตุขันธ์ของท่าน ท่านยังเสียสละเลย นับประสาอะไร ดูสิ มันเป็นเพราะอะไร มันซื่อตรง ซื่อตรงต่อธรรมไง ถ้าซื่อตรงต่อศีลต่อธรรมมันจะปั้นใจให้เป็นธรรมได้ คนที่จะเข้าไปสู่สัจธรรม เขาต้องสะอาดบริสุทธิ์ 

ศีล ถ้าเกิดมีศีลโดยปกติขึ้นมาก็กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ การประพฤติปฏิบัติของเราจะมีโอกาส นี่ไง เวลาเราปฏิบัติ เราว่าเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ มีอารมณ์ขุ่นมัวขนาดไหน มันมีความทุศีลอย่างไร มันมีความโต้แย้งในใจ แล้วเราก็พุทโธๆ จะปฏิบัติ ปฏิบัติมันจะไปไหน มันขุ่นใจอยู่ นิวรณธรรมกางกั้นสมาธิ นิวรณธรรมกางกั้นปัญญาที่มันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากชำระล้าง มันจะเกิดปัญญาก็เป็นปัญญาทุจริตนี่ล่ะ มันจะเกิดมาเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาที่มันจะเกิดมาเป็นดาว อยากจะเป็นดาว 

เรื่องทางโลกเขานั่นก็เป็นอาชีพของเขา อาชีพของเขามันมีการกระทำของเขา เห็นไหม แล้วปั้นดินเป็นดาวมันก็ยังมีอุปสรรค มีอุปสรรคขนาดไหน แล้วเวลาเป็นดาวแล้วเดี๋ยวมันก็ตก สรรพสิ่งในโลกมันเป็นอนิจจัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์เป็นอนัตตา อนัตตาคือมันแปรสภาพของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นอนิจจังอยู่แล้ว ถ้ามันเป็นอนิจจังมันก็เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์มันก็ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใด อยู่ไม่ได้ มันก็เป็นอนัตตา นี่อนัตตามันก็เวียนอยู่อย่างนั้น 

ถ้ามันเวียนอยู่อย่างนั้น แต่เรารู้เราเห็นจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นจริง นี่เราศึกษามา ศึกษามาเพื่อ เพื่อเป็นแนวทาง แล้วจะปฏิบัติเราต้องซื่อสัตย์ เราซื่อสัตย์ของเรา เราทำตามความเป็นจริงของเรา ถ้าเป็นจริงของเรานี่มันจะรักษา คนเรามีเป้าหมายอยากมีการกระทำนะ มันจะรักษานะ 

ถ้ารักษา เห็นไหม เรารักษาศีลของเรา ศีลของเราถ้ามันด่างมันพร้อย ผลมันก็ปลงอาบัติของเรา เราทำของเราให้มันเป็นความจริงของเรา เราจะปั้นใจให้เป็นธรรม ปั้นใจให้เป็นธรรมนะ แนวทางในการประพฤติปฏิบัติมันต้องบุกป่าฝ่าดงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตัว ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตัดป่าโดยไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวเลย ต้องตัดป่ารกชัฏในหัวใจ ถ้าจะตัดป่ารกชัฏในหัวใจ เราต้องมีความเข้มแข็งของเรา

คนเรานะถ้ามีความเข้มแข็ง มีความเข้มแข็ง มีความอดทน มีความซื่อสัตย์ คนที่มีบารมี คนที่ไม่มีบารมี เวลาจะทำอะไรก็ทำ ทำด้วยความอ่อนแอ นี่ทำให้อ่อนแอนะ พอทำให้อ่อนแอ จิตใจมันหลงงมงายไป มันก็บอกนี่เป็นสมาธิ มันคิดเองเออเองหมด ถ้าคิดเองเออเองมันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร

สมาธิก็เป็นสมาธิ สมาธิ เห็นไหม ดูสิ เวลาลัทธิฤาษีชีไพรเขาทำสมาธิของเขา ทำไมเขาทำของเขาได้ล่ะ เขาทำด้วยความสบายใจไง เขาบอกนี่คือเป้าหมายของเขา เขาทำด้วยไม่มีสิ่งใดสลับซับซ้อนในใจของเขา แต่ของเรานี่เราทำสมาธิ เราทำความสงบของใจเข้ามา แล้วจะทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อ เพื่อให้เป็นสัจธรรม

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ พระไตรปิฎกใครๆ ก็เปิดได้ ใครๆ ก็ศึกษาได้ เปิดค้นคว้าได้ ยิ่งคอมพิวเตอร์กด สงสัยข้อใด สงสัย หาสิ่งใด เรากดหาได้เลย มันก็เป็นตัวอักษร เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอบสนองความสงสัยเราเป็นวรรคเป็นตอน สงสัยเรื่องสิ่งใด มีความข้องใจสิ่งใด เราก็ค้นคว้า เราก็ค้นหามา พอมันได้คำตอบแล้ว ได้คำตอบแล้วทำอย่างไรต่อ 

นี่ไง ดูสิ ฤาษีชีไพรเขาก็ปฏิบัติของเขาด้วยความสบายใจของเขา ด้วยว่านี่คือเป้าหมายของเขา เขาไม่มีความกังวลของเขา เขาทำสมาธิของเขา เขาเลื่อนลอยของเขาไป ถ้าคนที่มีสติปัญญา ดูสิ อาฬารดาบส อุทกดาบส เข้าสมาบัติ ๘ เข้าสมาบัติเพราะสมาธิมันยกขึ้นได้ เห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสา-นัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เห็นไหม เขาขึ้นเขาถอยของเขาได้ สมาธิของเขา เขาขึ้นเขาถอยของเขาได้ แล้วทำไมไม่ใช้ปัญญาล่ะ 

เขาใช้ปัญญาไม่ได้ ดูสิ เขาทำสมาธิได้ เขาใช้ปัญญาไม่ได้เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม เขาน้อมปัญญาไปไม่เป็น แล้วของเราล่ะ เราทำสมาธิ ดูสิ เราจะทำสมาธิ ทำไมเราทำสมาธิไม่ได้ แล้วเวลาอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอขึ้นมา เวลามันเคลิบเคลิ้มไปมันว่าเป็นสมาธิ เคลิบเคลิ้มไง ถ้าเคลิบเคลิ้มไป เห็นไหม ดูสิ จะปั้นใจให้เป็นดาว จะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ แล้วธรรมะมันอยู่ที่ไหนล่ะ 

ธรรมะมันเกิดจากหัวใจนะ สิ่งนั้นเป็นชื่อมันทั้งนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เป็นทฤษฎี มันเป็นวิธีการ เป็นที่เราจะเข้าไปหาความจริงของเรา แล้วความจริงของเรามันอยู่ที่ไหน ตะครุบเงาไปเรื่อย ค้นคว้าสิ่งใดก็ไม่เป็นความจริงขึ้นมาสักที

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเราซื่อสัตย์ ตั้งสัจจะ เห็นไหม ขันติธรรม เรามีขันติมีความอดทน เรามีขันติของเรา เห็นไหม งานทุกๆ อย่างเราก็ทำแล้ว เราไม่เคยทำงานมาหรือ เราทำมาทั้งนั้นน่ะงาน เราทำผิดพลาดมาก็มี ทำประสบความสำเร็จก็มี แต่งานอย่างนี้เป็นงานประจำโลก ทำเสร็จแล้วก็ต้องทำซ้ำทำซากอยู่อย่างนั้น แต่เราจะเอาจริงๆ ขึ้นมา เราจะค้นคว้าหาใจเราแล้ว เพราะเราจะปั้นใจให้เป็นธรรม 

เราไม่ต้องการทำแบบโลก โลกของเขามันเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม เรื่องของโลกหมู่สัตว์ สัตตะผู้ข้อง เรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเราวาง เวลาวิชาชีพ อาชีพของเรา เราก็ทำของเรา ทำวิชาชีพของเรา ทำด้วยความสบายใจ นี้เป็นวิชาชีพ ทำไว้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น

แต่ถ้าเรายังมีเป้าหมาย มีความมุ่งหมายที่จะเอามากกว่านี้ ถ้ามากกว่านี้ ชีวิตนี้เกิดมาแล้ว เกิดมาสาวก สาวกะ เกิดมาในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามันไม่ต้องไปขวนขวายเอามาจากไหนเลย มันขวนขวายเอามาจากหัวใจเรา ถ้าหัวใจเรามีเจตนามีการกระทำ ดูสิ ถ้าเราเสียสละได้ เราเสียสละสถานะของฆราวาส เราบวชเป็นพระก็ได้ ถ้าบวชเป็นพระ เห็นไหม ๒๔ ชั่วโมง ทางกว้างขวาง เราจะประพฤติปฏิบัตินะ

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สิทธิเสรีภาพนะ เรามีครูมีอาจารย์ เราบวชมาเป็นพระแล้ว สิ่งที่เราจะเลือกเฟ้นของเรา ถ้าเลือกเฟ้นของเราหมู่คณะที่ไหนเขาประพฤติปฏิบัติ ถ้าหมู่คณะที่เขาไม่ประพฤติปฏิบัติ เราก็หลีกเร้นของเราไปซะ เราไปหาที่ปฏิบัติ ถ้าไม่มีที่ไหนปฏิบัติเลย เราก็อยู่คนเดียวก็ได้ อยู่ป่าอยู่เขา เราจะทำปฏิบัติของเรา แล้วอยู่ป่าอยู่เขาจะไปศึกษามากับใคร ศึกษามันก็มีครูบาอาจารย์ที่ปรึกษาหารือได้ ถ้าเราทำจริงของเรา เห็นไหม 

ถ้ามีครูบาอาจารย์ปรึกษาหารือได้ เราปรึกษาได้ ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วจิตใจเราสูงส่งขึ้นมา มันเปรียบเทียบได้เอง เราปฏิบัติแล้วถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นมา เราจะเปรียบเทียบได้เลย ที่เราปรึกษามาถูกหรือผิด ที่เขาพูดมาถูกหรือผิด แสดงว่าวุฒิภาวะเขามีเท่านั้น

เวลาเราทำของเราขึ้นมา คุณธรรมมันเป็นอย่างนี้ มันมีความสงบระงับได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเขาพูดไม่ถูก เขาพูดไม่เป็นเลยนี่แสดงว่าเขาทำไม่เป็น แสดงว่าเขาไม่มีความสามารถอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ ถ้าเขาไม่มีความสามารถอย่างนั้น มันก็เขาจะปั้นดินให้เป็นดาวไง เขาอยากมีชื่อเสียง เขาอยากจะสั่งสอน เขาอยากจะอวดตนว่ามีคุณธรรม เวลาสั่งสอนไป สั่งสอนด้วยความรู้ความเห็นของเขา ยังไม่มีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้จริง มันก็มีคนนับหน้าถือตากันไปด้วยการร่ำลือ 

แต่วันใดเราปฏิบัติของเราแล้ว เรามีความสามารถของเรา เราวัดค่าได้เลย ทำไมเมื่อก่อนเราเชื่อเขาล่ะ เราเชื่อเขาเพราะเรายังไม่มีความสามารถ ไม่มีความรู้ได้ขนาดนี้เราก็เชื่อเขา แต่พอเรามีความสามารถนะ ความสามารถเราทำได้ระดับนี้ ทำได้ความถูกต้องดีงาม ทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา เราจะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ ธรรมจะเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เราเคยทำมา ที่เขาแนะนำมามันไม่ใช่ เห็นไหม นี่มันไม่ใช่ เขาไม่ซื่อสัตย์แล้ว เขาหลอกลวงตัวเอง 

แต่เวลาเราทำจริงทำจังของเราขึ้นมา ถ้าเรามีคุณธรรมของเราขึ้นมา เห็นไหม เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราจะปั้นใจให้เป็นธรรม ถ้าปั้นใจให้เป็นธรรมนี่ เราจะปั้นใจๆ เราต้องมีหัวใจให้ปั้น

เขาจะปั้นดินให้เป็นดาว เห็นไหม นี่มันเป็นบุคลาธิษฐาน ปั้นดินให้เป็นดาว เราจะปั้นดิน เอาดินมานวดแล้วปั้นเป็นดาวเลยก็ได้ แล้วทาสีแขวนไว้ มันก็เป็นดาวเหมือนกัน เขาจะปั้นคนให้มีความสามารถ ปั้นคนให้เป็นตำนาน มันก็เป็นการทำวิชาชีพ เวลาพระเราอยากมีชื่อเสียง อยากมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ มันก็เป็นการอยากเอาผลงานเพื่ออวดกันๆ อยากสร้างถาวรวัตถุ อยากสร้างสิ่งใดให้คนนับหน้าถือตา นี่มันอยากเป็นดาว 

แต่เราจะปั้นใจให้เป็นธรรมนะ ใจมันอยู่ไหน?

เวลาเราไปหลงงมงายนี่อะไรหลง ก็ใจนี่หลง ใจนี่หลงอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด แล้วมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำ กิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำ พอเกิดอารมณ์ขึ้นมามันก็บวกค่าขึ้นไปด้วยกิเลสที่มันเพิ่มฉุดกระชากไป มันก็ไปตามนั้น ชีวิตเราเหลวแหลกไปก็เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพาไป 

เวลามันหลง อะไรมันหลง ก็ใจมันหลง เพราะใจมันหลงมันถึงมีพฤติกรรมมีการกระทำอย่างนั้นออกมา แล้วมีการกระทำอย่างนั้นออกมา นี่โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากต้องการครอบงำเลยยิ่งทำ ยิ่งทำเพื่อตัวตนของตัว มันก็เลยเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมให้กับใจดวงนั้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นไหม 

แต่ของเรานี่เพราะเราเป็นสาวก สาวกะ เรามีสามัญสำนึก เราพยายามจะเอาอัตตสมบัติความเป็นจริงของเรา ถ้าอัตตสมบัติความเป็นจริงของเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแนวทางไว้แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา เราจะต้องมีศีลด้วยความปกติของใจด้วยความซื่อสัตย์ เวลาประพฤติปฏิบัติก็ความเป็นจริงของเรา ถ้าจิตมันไม่สงบๆ เวลาเราใช้ปัญญาออกไป เราใช้ความรู้สึกนึกคิดออกไป นี่มันมีสมุทัย มันมีตัณหาความทะยานอยากร่วมด้วยมาตลอด 

แล้วการว่ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันร่วมด้วยมาตลอด เราทำหน้าที่การงาน เวลาทำงานทางโลก เห็นไหม มันก็เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันบวกเข้ามา ถ้าเราคิดด้วยหน้าที่การงานมันไม่ใช่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลามันอยากได้อยากดีนี่มันก็กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราทำหน้าที่การงานทางโลกมันก็มีเจือปนมาอยู่แล้ว สิ่งนี้มันมีอยู่กับเรา แล้วทำแล้วนี่มันก็เป็นเรื่องโลกๆ นี่แหละ 

แต่เวลาเราจะอัตตสมบัติ เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา เราจะต้องทำความสงบของใจเข้ามา เราจะไม่ปล่อยให้อารมณ์ๆ อารมณ์ เห็นไหม เวลาเราจะปั้นใจให้เป็นธรรม เราจะต้องมีหัวใจของเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี่มันเป็นอารมณ์มันไม่ใช่ใจ นี่ความคิด ความคิด เห็นไหม ไม่ใช่จิต ความคิดที่มันเกิดขึ้นมันไม่ใช่ 

แต่เรา เราก็เข้าใจผิดกัน เราเข้าใจผิดว่า เราใช้ความคิด ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาให้มันปล่อยวางๆ ศึกษาแล้วบอกว่ามันเป็นความว่าง ศึกษาแล้วมีความเข้าใจ แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ นี่ไง ถ้ามันไม่มีหัวใจให้ปั้น เดี๋ยวเขาปั้นดินให้เป็นดาว เขายังมีดินมาให้ปั้น เขาจะปั้นคนให้มีชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ เขาก็ต้องมีเทคนิคของเขา

ในทางกีฬา เห็นไหม ดูเขาจะปั้นให้เป็นตำนาน เขาก็ต้องฝึกฝนขึ้นมาทั้งชีวิตของเขา เขายังมีเหตุมีผลมีข้อเท็จจริง แต่ของเราไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็คิดของเราไป นี่ไง ถ้าคิดของเราคิดเองเออเองๆ อยากมีผลงาน อยากมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ แล้วเวลาไปสั่งสอนคนอื่นก็สั่งสอนโดยไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แต่พยายามอ้างอิงธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันสรุปลงไม่ได้ ถ้าคนประพฤติปฏิบัติเวลาปฏิบัติไปมันต้องสรุปลง สรุปลงเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหน มีกิจจญาณ มีสัจจญาณ 

ไอ้นี่มันไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ คือไม่มีการกระทำของใจ ใจของตัวเองไม่เคยกระทำ เราจะเอาเทคนิคอย่างไร เราจะบอกวิธีการกับเขาอย่างไร ว่ามันจะเริ่มต้นอย่างไร ท่ามกลางอย่างไรและที่สุดอย่างไร ในการประพฤติปฏิบัติมันก็ตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด จนจบกระบวนการของมันไป ถ้าจบกระบวนการเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม จะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ ไง 

แล้วใจครูบาอาจารย์ท่านปั้นมาแล้ว ท่านรู้ของท่านๆ ท่านถึงบอกว่านี่ทั้งๆ ที่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้วนะ ท่านมองมาที่เราที่เป็นเหมือนมนุษย์นี่มันสังเวชนะ เพราะมนุษย์มีกายกับใจๆ มีกายกับใจแล้วเวลาเราอยู่ทางโลกนี่ เราใช้ปัญญาของเรา มันก็เรื่องของสมอง มันก็เรื่องของหัวใจทั้งนั้นน่ะ 

นี่สมองมันเป็นทาส สมองเป็นก้อนเนื้อ แต่มันต้องมีพลังงาน พลังงานเวลาทางการแพทย์เขาบอกว่าคลื่นไฟฟ้า เวลาคลื่นไฟฟ้ามันสั่งการขึ้นไปให้สมองมันทำงาน แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้ว คนมีกายกับใจๆ เวลาเราอยู่กับทางโลกมันต้องอาศัยหัวใจ มันเป็นพลังงาน มันถึงได้มีความรู้สึกนึกคิด เวลาไปศึกษาสิ่งใดมามันวิชาการต่างๆ มา ใช้ไปโดยความสามัญสำนึกของมนุษย์ไง 

แต่เวลาครูบาอาจารย์เราท่านในการประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษา พระออกมาศึกษา ศึกษาในทางวิชาการ ก็เหมือนกับโลกศึกษานี่แหละ โลกศึกษาก็ศึกษาด้วยสมอง ด้วยพลังงานของใจ มันก็ต้องผ่านพลังงานอันนี้เข้าไปเพื่อการศึกษา เพื่อการค้นคว้า เพื่อฝึกฝนให้ใจมันฉลาด ให้คนมันมีวิชาการ ให้เป็นปัญญาขึ้นมา 

ศึกษามาแล้วๆ เวลาปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม หัวใจนี่หัวใจจะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ ถ้าปั้นใจให้เป็นธรรม ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ศึกษามาแล้วให้วางไว้ก่อน วางไว้ เห็นไหม เราศึกษามาแล้ว ทางวิชาการเราก็ศึกษา ศึกษามาแล้ว แล้ววางไว้ก่อนๆ แล้วทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา ใจมันสงบ พอใจมันสงบเข้ามา เวลามันฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะเป็นปัญญาเอกเทศ ภาวนามยปัญญา ปัญญาของใจดวงนั้น 

ถ้าใจดวงนั้นนะ ใจดวงนั้นเวลาจิตมันสงบแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา ในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย ในเวทนา ในจิต ใจธรรม ใจดวงนั้น เห็นไหม ปั้นใจให้เป็นธรรมๆ ใจดวงนั้นมันสงบแล้วมันก็มีความสงบ มันความสงบมันก็มีความสุขนะ จิตสงบ โอ้โฮมีความสุขมาก มีความสุขนะ แล้วมีความสุขแล้วเป็นการยืนยัน ยืนยัน เห็นไหม ว่ากายกับใจๆ ถ้าจิตของใครเคยเป็นสมาธิ เคยสงบระงับเข้ามา มันจะเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าของการปั้นใจให้เป็นธรรม 

เพราะถ้าใจมันสงบเข้ามาๆ ถ้าคนภาวนาไม่เป็นมันก็เก้อๆ เขินๆ พอสงบเข้ามาแล้วมันก็จับพลัดจับผลูมันจะก้าวเดินอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ท่านให้ฝึกหัดๆ ว่าชำนาญในวสี กำหนดพุทโธๆ พุทโธแล้วถ้ามันสงบระงับเข้ามา มันละเอียดเข้ามา มันละเอียดอย่างไร เวลามันปล่อยวาง มันปล่อยวางอย่างไร แล้วรักษา รักษาอย่างไร แล้วเวลามันคลายออกมา แล้วมันจะเข้าอีก เข้าอีกไม่ได้ เข้าอีกไม่ได้ทำอย่างไร 

นี่ฝึกหัด ฝึกหัดชำนาญในวสี ทำจนมันชำนาญของมันนะ ถ้ามันชำนาญ ถ้ามันไม่ชำนาญล่ะ เวลามันปฏิบัติแล้ว เราทำสมาธิได้ มันก็เป็นความสุข มันก็มีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แล้วเวลาฝึกหัดใช้ปัญญา เราฝึกหัดใช้อย่างไร เห็นไหม เราจะรอกว่าสมาธิมันจะตั้งมั่น กว่าสมาธิมันจะมั่นคง เราเอง เราก็อยากจะสัมผัส เราเอง เราก็อยากมีปัญญา 

มีปัญญามันก็ฝึกหัดใช้ปัญญาได้ ปัญญาเนี่ย เวลาจิตมันสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ สมาธิก็เป็นสมาธิ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในใจของตัว รักษาใจให้มันสงบเข้ามาไง การที่ใช้ปัญญา เห็นไหม มันยังไม่เป็นวิปัสสนาโดยชัดเจน แต่มันเป็นการฝึกหัดใช้ปัญญาเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ อ่อนๆ คือฝึกหัด ทุกอย่างมันต้องมีการฝึกหัด มันจะเกิดเองไม่มีหรอก 

ถ้าความไม่เข้าใจ เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่อยากจะเป็นดาว อยากจะให้เขาเชื่อถือ เขาบอกว่า “ทำสมาธิเดี๋ยวปัญญามันจะเกิดเอง ปัญญามันเกิดมันจะเป็นขั้นเป็นตอนของมัน” มันเป็นไปไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้ถ้ามันเป็นไปได้นะ ฤาษีชีไพรเป็นพระ-อรหันต์ไปหมดแล้ว ถ้าเป็นไปได้นะ อุทกดาบส อาฬารดาบสก็เป็นพระอรหันต์ เพราะเขาได้สมาบัติอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ 

แล้วมันเป็นไปได้ แล้วเป็นอย่างไรล่ะ

มันเป็นไปได้ถ้าจิตมันสงบ พยายามทำความสงบของใจเข้ามา แล้วถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาก็ฝึกหัดใช้มันไป ฝึกหัดใช้ปัญญาบ่อยๆ ครั้งเข้า จะปั้นใจให้เป็นธรรม เพราะมันมี ถ้าจิตสงบมันมีหลักมันมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์นะ ความคิดของคนมันแตกต่างแล้วล่ะ ความคิดของเราทีแรกนะ เราว่ากายกับใจมันเป็นอย่างไร เราก็ไม่เข้าใจ อะไรเป็นกาย อะไรเป็นใจ มันแยกไม่ถูกเลย แต่จิตมันสงบเข้ามา ใจหดสั้นเข้ามา อัปปนาสมาธิสักแต่ว่าจิต สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าจิต แม้แต่สักแต่ว่า จิต ความคิดมันไม่มีไง 

แต่พวกเรานี้เวลาจะรู้ว่าเรามีหัวใจ เพราะมีความคิด ถ้าเรามีอารมณ์ เราเอ้อเนี่ยใจ ใจมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีอารมณ์นะ เอ๊ะมันไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เอ๊ะ!ใจมันเป็นอย่างไร จับไปก็มีแต่ก้อนเนื้อ แต่เวลาคนตายนะ เวลาคนตายจิตออกจากร่างมันออกอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ท่านมองมา มองมาที่ชาวพุทธ มองมาที่เราเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน ท่านเสียดาย ท่านเสียดายโอกาส ท่านเสียดายมากๆ เลย เสียดายที่ไหนรู้ไหม เสียดายหัวใจของคนคนนั้นน่ะ เพราะใจของคนคนนั้นมันมีค่า มีค่ากว่าแก้วแหวนเงินทอง มีค่ากว่าทุกอย่างเลย เพราะใจดวงนั้นมันสามารถประพฤติปฏิบัติ มันสามารถใช้ปัญญาญาณสำรอกคายกิเลสออกไป มันจะได้ เห็นไหม 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา บอกว่า เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองเปลือกไข่ออกมา” เห็นไหม ไก่ตัวแรกเป็นศาสดา เอกนามกิํ หนึ่งไม่มีสอง สุดยอด แล้วเรานี่มนุษย์ที่เกิดมา มนุษย์เกิดมามีอวิชชา มีอวิชชาคือเปลือกไข่มันครอบงำ มันครอบงำไข่ขาว ไข่แดง มันครอบงำชีวิตเราทั้งหมดเลย แล้วก็หลงชีวิตกันไปกับทางโลกๆ ไง

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติท่านเสียดายนะ ท่านเสียดาย แล้วเวลาจะปั้นใจให้เป็นธรรม มันก็ต้องพยายามของเรา ต้องสดๆ ร้อนๆ คำว่า “สดๆ ร้อนๆ” คือมันตื่นตัวไง เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันคุ้นชินมันชินชา หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาเทศนาว่าการ “พูดจนชินปากฟังจนชินหูแต่หัวใจมันด้าน” เวลาพูด พูดธรรมะกัน ฟังธรรมะกันแต่หัวใจมันไม่ขยับเลยล่ะ มันดื้อด้าน หัวใจมันดื้อด้าน มันบอกมันรู้ มันเก่ง เพราะอะไร เพราะกูพูดได้ ธรรมะพูดปากเปียกปากแฉะเลยล่ะ แต่พูดธรรมะนะ แต่มันดื้อ มันดื้อเพราะอะไร มันดื้อเพราะมันปั้นใจไม่ได้ หาใจมาปั้นก็ไม่เจอ 

ถ้าหาใจจะมาปั้นนะ ต้องหาใจแล้วมาปั้น นี่จะปั้นใจให้เป็นธรรม ปั้นใจให้เป็นธรรมนะ ถ้าปั้นใจให้เป็นธรรม เราอย่าไปคุ้นชินกับอะไรทั้งสิ้น ตื่นตัวตลอดเวลา ถ้าตื่นตัวตลอดเวลา เห็นไหม เวลาเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่มันจะมีสติ สติมันจะสมบูรณ์ สติมันจะดี ถ้ามีสติสัมปชัญญะ นี่ความคิด ความคิดมันเกิดเพราะอะไร 

ความคิดมันเกิดเพราะขาดสติ เวลาสติมันพลั้งมันเผลอ โอ๋ยความคิดมันไหลไปเลย เราไปกับมันนะ ไปเกือบจะสองรอบโลกแล้ว เอ้อนี่คิดแล้วเนาะ มันไปสองรอบโลกแล้วนะ มันเพิ่งได้สติว่าอ้อนี่คิดแล้ว เวลามันความคิด ถ้าความคิดมันเกิด มันขาดสติ แต่ถ้าเรามีสติสมบูรณ์ขึ้นมา เราเท่าทันของเรา อยู่กับปัจจุบัน จะก้าวจะเดินไปไหน จะคิดจะทำสิ่งใด ถ้าเราก้าวเดินไม่ถนัดก็พุทโธไว้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติใหม่นะ ท่านพยายามท่องพุทโธไว้ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เวลาไม่ได้ภาวนาก็ท่องไว้ พุทโธๆๆ พยายามท่องไว้ นี่รักษาจะหาใจให้เจอ แล้วพอมันสงบระงับเข้ามามันจะเห็นหัวใจของเรา ถ้ามันเห็นหัวใจของเรา เห็นไหม มันมหัศจรรย์นะ โอ้ธรรมะเป็นอย่างนี้จริงๆ กายกับใจเราเป็นอย่างนี้เอง นี่ใจของเราเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น พอใจของเราเป็นอย่างนี้ เพราะมันเกิด เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ นี่ก็เพราะเกิด เกิดถึงได้สถานะ พอสถานะเอาสถานะเป็นตัวตน แต่ไอ้ตัวใจนี่ ตัวใจเป็นพลังงาน นี่เม็ดใจ ใจเม็ดในที่มันซ่อนอยู่นี่เราไม่เห็นมัน เราไม่รู้ไม่เห็นนะ แต่เราเชื่อ เพราะว่าเราเชื่อในพระพุทธศาสนาว่ามีกายกับใจ เราเชื่อ แต่เรายังไม่รู้ไม่เห็น เราถึงมาเอาใจเรามาปั้นไม่ได้ไง 

นี่เพราะเอาใจเราปั้นไม่ได้ ถ้าเราพุทโธๆๆ จนมันสงบเข้ามา มันเห็นชัดนะ เห็นชัด พอเห็นชัดขึ้นมา มันมีคุณค่าแล้ว เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่ไง พระพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วเราปฏิบัติได้ความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าได้ความจริงของเราขึ้นมา พยายามฝึกหัดอย่างนี้ รักษาไป ไม่เสียหาย แล้วไม่เสียหาย แล้วไม่ตื่นเต้น 

ถ้าเราเสียหาย เราตื่นเต้น เวลาตื่นเต้น เห็นไหม ได้ของมีค่ามาแล้วรักษาไม่เป็น มันก็หลุดมือไป ถ้ามันเสียหาย เสียหายก็เข้าสมาธิแล้วมันจะเข้าก็ยากออกก็ยาก ทำอะไรไม่เป็นไปหมดเลย พยายามทำให้มันเหมือนชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันเราก็อยู่ประจำวันของเรา เช้าขึ้นมาเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา ตกเย็นเราก็กลับบ้าน เราก็ได้พักผ่อนของเรา นี่มันก็เรื่องปกติ

นี่ก็เหมือนกัน เราทำเป็นปกติ ถ้าเป็นปกติแล้วเรารักษาใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้ารักษาได้ รักษาได้ หนึ่ง มันมีความสุขแล้ว ถ้ามีความสุขนะ คนที่วุฒิภาวะอ่อนแอ นี่ก็ว่านี่เป็นนิพพาน เพราะมันว่าง มันมีความสงบของมัน 

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่ปั้นใจให้เป็นธรรม ครูบาอาจารย์ท่านจะปั้นใจให้เป็นธรรม ปั้นใจให้เป็นธรรม ท่านพยายามโน้มน้าว ถ้าจิตสงบแล้วให้ออกฝึกหัด ให้ออกฝึกหัดโน้มไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม รำพึงให้เกิดขึ้น ให้มี ให้เป็น ถ้าจิตมันไม่สงบเวลามันเห็น มันเห็นโดยสัญญา เห็นโดยสัญญาก็ว่าเห็นกายๆ หมอมันผ่าตัดทุกวัน หมอมันผ่าตัดนะ แล้วกว่าจะผ่าตัดเขาต้องทำความสะอาด เขาฆ่าเชื้อไว้รอเลย พอหมอเข้าไปเขาส่งมีดให้ มีดก็กรีดเลย มันทำจะอะไร หมอก็กรีดเลย

การเห็นกาย เห็นกายอย่างไร พูดไปเพ้อเจ้อ นี่การเห็นกาย เราเปรียบเทียบได้ อย่างเช่น เราจะประพฤติปฏิบัติใหม่ ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติใหม่ใช่ไหม กายนอกไปเที่ยวป่าช้านี่ก็เป็นกายนอก เวลาเราคิดถึงเรื่องกายๆ มันเป็นเรื่องกายนอก มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นวิชาชีพ ดูสิ เวลาทางการแพทย์ เขาเรียนด้วยทางการแพทย์ฝ่ายเฉพาะทาง เห็นไหม เขาเรียนต่อเนื่องๆ กันไปตลอด เขาอธิบายเรื่องกาย กายวิภาค เขาอธิบายได้ดีกว่าพระอีก

แต่เวลาเราจะเห็นกายของเรา จิตมันสงบแล้วมันเห็น ถ้าจิตสงบมันเห็นนะ เราจะมีคุณค่ากว่าทางการแพทย์ ทางการแพทย์เขาทำทางวิชาการของเขา เวลาเขาเฉพาะทางของเขา เขาต้องฝึกหัดมา เพราะว่าเขาดำรงชีพด้วยชีวิตของมนุษย์ เขาทำของเขาต้องไม่ให้มีความผิดพลาด ถ้ามีความผิดพลาดไปคนถึงกับเสียชีวิต เขาต้องมีความละเอียดรอบคอบ เห็นไหม ประชาชนถึงฝากชีวิตไว้กับหมอ กับหมอกับผู้ที่เขามีอาชีพกับชีวิตของคน เขาให้เกียรติเพราะว่าเขาถ้าทำเสียหาย มันเสียหายไป นั่นเขาให้เกียรติขนาดนั้น แล้วเขาได้ผลตอบแทนด้วย แล้วเขามีสถานะทางสังคมที่คนยกย่องด้วย เวลาอาชีพของหมอเขา เวลาเห็นกายแบบหมอ

แต่เวลาจิตเราสงบ ถ้าเราพุทโธๆ จิตเป็นสมาธิแล้ว เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันเป็นสมาธิแล้ว เรารำพึงไปที่กาย เวลาเราเห็นกาย เวลาเราเห็นกายจิตมันเห็น เวลาหมอเขาศึกษา เขาศึกษามาตั้งแต่เป็นแพทย์ประจำบ้าน แล้วก็ศึกษาเฉพาะทาง เขาศึกษากันมาจนมีความชำนาญของเขา เขาศึกษาเขาต้องมีสติ เขาต้องมีสมาธิเข้มงวดของเขา เขาถึงพัฒนาความชำนาญของเขาขึ้นมา ไอ้นั่นเป็นวิชาชีพของเขา เพราะชีวิตทั้งชีวิตเขาทำเพื่ออาชีพเขา

แต่เรา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา จะทุกข์จนเข็ญใจ จะเศรษฐีกระฎุมพีขนาดไหน เราเสียสละสถานะทางโลกมา เราบวชเป็นพระ ถ้าเราเสียสละทางโลกมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พยายามฝืนทน พยายามต่อสู้กับตัณหาความทะยานอยาก พยายามต่อสู้กับกิเลส พยายามต่อสู้กับสิ่งที่ครอบงำ สมุทัย ตั้งแต่ครอบครัวของมารมันบิดเบือนตลอดเวลา มันจะปั้นดินให้เป็นดาว มันจะปั้นให้พระให้มีชื่อเสียง พอปฏิบัติแล้วมันก็จะติดยศติดชื่อติดเสียง ติดการกระทำให้คนนับหน้าถือตา นี่มันเรื่องกิเลสทั้งนั้น 

เราพยายามฝึกฝนของเรา เรามาเพื่อจะชำระล้างมัน เราไม่ได้มาเพื่อส่งเสริมมัน พอมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ก้าวเท้าสองทีมันบอกว่ามีคุณธรรม มันจะเอาคุณธรรมมาจากไหน มันยังไม่มีการกระทำเลย ดูสิ ในหมอทางการแพทย์ เขาศึกษามา เขาพยายามค้นคว้ามา กว่าเขาจะมีความชำนาญของเขา ชีวิตเขาทั้งชีวิตนะ 

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะเอาความจริงของเรา สิ่งที่เอาจริงเอาจัง หน้าที่การงานก็หน้าที่การงานยกไว้ แล้วเราทำของเราถ้ามันจิตสงบ จิตสงบเข้ามาเราก็ดูแลรักษา เห็นไหม จะปั้นใจให้เป็นธรรม เราจะหาใจของเราให้เจอ ถ้าใครหาใจของตัวเองเจอนั่นคือสัมมาสมาธิ ถ้าใครทำความสงบของใจเข้ามาเขาจะมีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าเขามีพื้นมีฐานขึ้นมาแล้วน้อมไปรำพึงไปให้เห็นกาย การเห็นกายโดยจิต เห็นกายนี่สติปัฏฐาน ๔ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม พอเห็นเข้าไปมันสะเทือนมากๆ

มันมีคุณค่ากว่าหมอที่เขาเรียนมาทั้งอาชีพ แล้วเขาผ่าตัดของเขา เขามีความชำนาญของเขา เวลาเขาเข้าห้องผ่าตัด เห็นไหม จะมีพวกแพทย์ที่เขาไปเป็นมือสำรอง เขาจะช่วยส่งเครื่องมือแพทย์ เขาจะทำกันเป็นทีมของเขา เขาเป็นทีมเลย ทำผ่าตัดใหญ่ประสบความสำเร็จ เสร็จงานออกมารับผลตอบแทน

แต่ถ้าจิตของเราสงบขึ้นมา พอมันเห็นกาย ใครเป็นคนเห็น ปั้นใจให้เป็นธรรม ปั้นใจให้เป็นธรรม ใจดวงนี้ๆ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดนรกอเวจี จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีความเชื่อมั่นมีอำนาจวาสนาบารมีๆ มีการศึกษาธรรมะด้วยการฟัง มีการศึกษาธรรมะด้วยการค้นคว้า

เพราะเราศึกษา เห็นไหม เราศึกษา เราค้นคว้าในพระไตรปิฎก เราศึกษาด้วยการฟังมาจากครูบาอาจารย์ แล้วเรามีความใฝ่ใจ มีความมุ่งมั่นมาที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะทำปั้นใจให้เป็นธรรมแบบที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพยายามประคอง ท่านพยายามวางข้อวัตรปฏิบัติ ให้เราประพฤติปฏิบัติ แล้วเราก็มีความมุมานะ เราก็มีความจริงของเรา มีการกระทำของเรา มีการกระทำของเราเพราะมันมีกิจ มีสติ 

ไม่มีสติ ไม่มีสติ มันมีสติจากล้มลุกคลุกคลาน จากทำภาวนาไม่เป็น พอมีสติขึ้นมา มีสติมันยั้งคิดได้ พอมันยั้งความคิด ความคิดที่มันแผดเผา ความคิดที่มันสมุทัย ถ้ามีสติมันยับยั้งได้ ถ้ายับยั้งได้เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิบ่อยครั้งเข้าๆ จนจิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามานะ พอจิตมันสงบเข้ามาแล้วจิตเรามีความชำนาญของเรา รักษาใจของเรา น้อมไปเห็นกาย ความเห็นของเรา เห็นไหม นี่ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิด เวลามันเห็น ปั้นใจให้เป็นธรรม ปั้นใจให้เป็นธรรม พอมันรู้มันเห็นขึ้นมามันสะเทือนอะไร มันสะเทือนกิเลส เพราะที่มันเห็นมันสะเทือนกิเลส

เพราะไม่เคยเห็น ไม่มีใครเคยเห็น สิ่งที่เห็นๆ นี้ มันเห็นโดยอุปาทาน เห็นโดยจินตนาการ เห็นโดยความเข้าใจว่าเห็น เป็นการสร้างภาพ เป็นที่อยากจะปั้นตัวเอง อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนสติปัฏฐาน ๔ มาตั้งแต่เริ่มต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ธรรมและวินัย ๒,๐๐๐ กว่าปี ทุกคนก็จำได้ ปากเปียกปากแฉะ พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทุกๆ องค์ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากความจำ เกิดขึ้นจากจินตนาการ เกิดขึ้นจากครูบาอาจารย์ เกิดขึ้นจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านได้ประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านวางร่องวางรอยเอาไว้ เวลาองค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็พูดร่องรอยอย่างนี้ แต่พูดร่องรอยอย่างนี้ท่านมีความจริงของท่าน ท่านมีวิธีการ มีจังหวะจะโคน มีความหนักความเบา การกระทำส่วนใดควรหนักต้องหนัก ส่วนใดควรเบาต้องเบา

แล้วเราสิ่งใดที่ยังไม่ได้ มันต้องมีความมุมานะ มันต้องมีความเข้มข้นของมัน มันต้องมีความหนักหน่วงของมัน เวลามันเข้าด้ายเข้าเข็ม มันจะเป็นความจริงของมัน เห็นไหม ต้องมีความนุ่มนวล ต้องมีความละเอียดอ่อน ความเบาของเราที่มันจะทำให้กระบวนการของมัน จับมาเป็นขั้นเป็นตอนไป ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นความจริงครูบาอาจารย์เป็นความจริง เห็นไหม แล้วเวลาจิตของเรามันสงบเข้ามา ถ้ามันไปเห็น เห็นไหม มันไปเห็นกายมันสะเทือนหัวใจสะเทือนมาก สะเทือนกิเลสมาก สะเทือนกิเลสเพราะอะไร?

เพราะนี่มันช่องทาง เวลาความรกป่ารกชัฏในหัวใจ เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันครอบงำหัวใจของเรามา เห็นไหม เปลือกไข่ๆ ฟองอวิชชาที่มันครอบงำอยู่นี้ แล้วเปลือกไข่มันเป็นอย่างไร เปลือกไข่ก็กะเทาะไข่ ก็ทอดไข่สิ เปลือกไข่ก็กะเทาะมัน ก็เปลือกไข่ แค่กะเทาะมันก็จะเอาไข่อะไรล่ะ

นี่ไง เวลาเราความเคยชินไง ความเคยชินกับว่าเปลือกไข่นี่มันกะเทาะมันก็แตก เราคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ก็จินตนาการสร้างภาพว่ากันไปทางทฤษฎี ว่ากันต่อเนื่องไปเลย เปลือกไข่ๆ เปลือกไข่โดยอวิชชามันไม่เป็นอย่างนั้น เปลือกไข่ เห็นไหม ดูภวาสวะสิ ดูสิ ดูสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุธัจจะ อวิชชา นี่เปลือกไข่ เวลาเปลือกไข่มีมานะ มีทิฐิ มีความตัวตน มันเปลือกไข่ทั้งนั้น เนี่ยตัวอวิชชา นี่ล่ะครอบครัวของมาร 

แล้วครอบครัวของมารแล้วเกี่ยวอะไรกับกายมันเกี่ยวอะไรกัน

มันเกี่ยวกับกาย เพราะสิ่งนี้มันเป็นนามธรรม เวลามันถ้าเห็นกาย มันเห็นกายเพราะว่าเห็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นที่ยึดเกาะ มันเป็นที่ที่กิเลสมันใช้สิ่งนี้ออกเพื่อแสวงหาประโยชน์ของมัน ฉะนั้น เพราะมันสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส ความเห็นผิดไง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้ร่างกายนี้มา เราได้สถานะนี้มาเพราะว่าเราสร้างบุญกุศลมา เราถึงได้มนุษยสมบัติ แล้วมนุษยสมบัติ เห็นไหม มนุษยสมบัติ สิทธิความเป็นมนุษย์ มนุษยสมบัติ เห็นไหม สิทธิความเป็นมนุษย์ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่นี่เป็นมนุษย์ ถ้าเวลาลมหายใจมันขาดไปนี่ เวลาตายไปนี่มันพ้นสิทธิความเป็นมนุษย์ จะไปเกิดเป็นอะไรอีกเรื่องหนึ่ง นี่ไง 

ฉะนั้น สิทธิความเป็นมนุษย์ ถ้าสิทธิความเป็นมนุษย์มันก็เป็นทิฐิ เป็นความยึดมั่น เป็นความยึดของใจ ถ้าเป็นความยึดของใจ ถ้าใจมันยึด เป็นความยึดของมันของเราไง เพราะเราเกิดมาด้วยความลุ่มหลงไง เพราะเราเกิดมาเราเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็เป็นสมบัติของเรา เราก็เป็นมนุษย์นะ 

ฉะนั้น ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่มันเห็นกาย เห็นกาย เห็นไหม เห็นกายโดยธรรม พอจิตมันสงบระงับแล้วมันเห็น พอมันเห็นมันสะเทือนนะ นี่ไง สิทธิความเป็นมนุษย์หรือ กายเป็นของเราหรือ กาย เวทนา จิต ธรรมมันเป็นของเราใช่ไหม ถ้ามันเป็นธรรม เห็นไหม เป็นธรรมพอจิตมันเห็นมันแยกมันแยะของมัน โอ้ยคราวนี้เป็นวิภาคะมันแยกของมัน มันย่อยสลายของมันไป มันเป็นไตรลักษณ์ 

ไตรลักษณ์ เห็นไหม มันเป็นความเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้น อนิจจังมันแปรสภาพ ทุกข์คือความไม่ต้องการให้มันเป็นไปตามที่มันจะแปรสภาพ ทุกข์มันเป็นอนิจจัง มันเป็นทุกข์ แล้วไตรลักษณ์ล่ะมันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นอย่างนี้ถ้ามันเห็น ไตรลักษณญาณ ถ้ามันเกิดขึ้นมันเป็นความจริง มันฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาจิตมันสงบแล้วมันสะเทือน มันสะเทือนแล้วมันจะบริหารจัดการอย่างไร มันจะวิปัสสนาไปอย่างไร

ถ้าวิปัสสนาไปไม่ได้ พอพิจารณาไปบางทีมันวิปัสสนาไม่ได้ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ มันจะวางแล้วกลับมาพุทโธ กลับมาทำความสงบของใจ นี่ปั้นใจๆ เพราะใจมีกำลัง ใจมีกำลังมันถึงไปรู้ไปเห็น เพราะการไปรู้ไปเห็นอันนั้นมันถึงทำให้หัวใจนี้มีคุณค่าขึ้นมา พอหัวใจมีคุณค่าขึ้นมาเพราะเหตุใด เพราะปุถุชนคนหนา ปุถุชนถ้าเราทำสมาธิได้เป็นกัลยาณปุถุชน เวลากัลยาณปุถุชนยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค บุคคล ๔ คู่ นี่ปั้นใจปั้นใจจะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ

บุคคล ๔ คู่ เห็นไหม มันยกใจขึ้นแล้ว ยกใจขึ้นโดยการกระทำ ยกใจขึ้นด้วยวิปัสสนา ยกใจขึ้นด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เรายังไม่รู้ตัวเลย เราไม่รู้ตัว เราเดินมรรคแล้วเรายังไม่รู้ตัวเรายกใจเราขึ้นแล้ว เราจะปั้นใจให้เป็นธรรม เรายังไม่รู้ตัว ไม่รู้ คนที่ปฏิบัติใหม่ๆ ไม่รู้ เพราะกิเลสมันปิดหูปิดตาหมดล่ะ แต่ครูบาอาจารย์ที่สั่งที่สอนท่านรู้ เพราะครูบาอาจารย์ที่จะสั่งจะสอนนั้นท่านต้องผ่านวิกฤติอย่างนี้มา ท่านต้องผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา ท่านถึงปั้นใจของท่านขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาได้ไง 

ถ้ามันปั้นใจขึ้นมาแล้วใจนี้เป็นอะไรล่ะ ใจเป็นนามธรรมมันหาได้ยาก แล้วคนเรานะ มันฉ้อฉล เวลาพูดธรรมะกันมันใช้แต่อารมณ์ ใช้แต่คารม มันไม่มีความเป็นจริง แล้วใช้คารมคมคาย เห็นไหม นี่สัญญาอารมณ์ทั้งนั้น ถ้าสัญญาอารมณ์เราพูดธรรมะปากเปียกปากแฉะนี่สัญญาอารมณ์ ถ้าสัญญาอารมณ์ถึง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรมกันแล้วนี่มีเวล่ำเวลาเราสนทนาธรรม สนทนาธรรมกันเพื่อเป็นแนวทาง อย่าไปสนทนากันเพื่อคะคานเอาชนะ เอาชนะคะคานกันไม่เป็นประโยชน์ใดใดทั้งสิ้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา มันเป็นสมบัติของเขา เขาจะพูดมากพูดน้อย เขาจะพูดสูงส่งขนาดไหน นั้นก็เป็นสมบัติของเขา ถ้ามันเป็นความจริง 

แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงล่ะเพราะอะไรเพราะเขาจะปั้นดินให้เป็นดาว เขาอยากมีชื่อมีเสียงมีกิตติศัพท์มีกิตติคุณ แต่เวลาถ้าเราจะปั้นใจให้เป็นธรรม เขามีความซื่อสัตย์ เขาซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อความเป็นจริง ถ้าซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อความเป็นจริง เขาจะมีศีล ถ้าเขามีศีลเขาทำความสงบของใจเข้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเขาคดโกง เขาพูดของเขาด้วยตระบัดสัตย์ พูดของเขาด้วยไม่มีคุณธรรม เขาทุศีล 

ถ้าเขาทุศีล เห็นไหม ทุศีล เวลาถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมามันจะเป็นมิจฉา พอเป็นมิจฉามันบิดเบือน เป็นมิจฉา เห็นไหม ดูสิ เวลาคนเข้าไปในที่มืดเรากลัวผี กลัวผีก็เพราะจินตนาการว่าผีมันจะมารูปร่างอย่างใด แล้วเราก็สร้างภาพให้เป็นรูปร่างอย่างนั้น แล้วใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะเราเข้าไปในที่มืดเรากลัวผี ถ้าจิตมันทุศีล เวลามันทำความสงบของใจเข้ามามันจะเป็นมิจฉา พอมิจฉามันก็สร้างภาพคุณธรรม ธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ มีจริงหรือไม่มีจริงไม่รู้ 

แต่ร่องรอยของธรรม ร่องรอยของครูบาอาจารย์ ร่องรอยของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำมา ร่องรอยของครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านเทศน์ไว้มหาศาลเลย ใครจำขี้ปากไปขยายความอย่างไรก็ได้ มันไม่มีความจริงหรอก ไม่มีความจริง เห็นไหม มันไม่มีความจริงเพราะอะไรเพราะเริ่มต้นจากการทุศีล เพราะทุศีลพอเป็นสมาธิก็เป็นมิจฉา พอมิจฉามันก็จินตนาการ พอจินตนาการไปก็พูดตามธรรม แต่เป็นการจินตนาการ มันเลยไม่มีหนักมีเบา มันไม่มีหัวใจที่เอามาปั้น หัวใจที่เกิดเริ่มต้นว่าหัวใจมันเป็นอย่างไร แต่เป็นความคิดหมด เป็นสัญญาอารมณ์หมด 

นี่ไง ถ้ามันจะปั้นดินให้เป็นดาว เพราะดาวจะสูงส่งขนาดไหนมันต้องตก มันจะเป็นอนิจจัง มันจะอยู่ในวัฏฏะ มันจะเวียนว่ายตายเกิด มันไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นออกไป ไม่มีสิ่งใดตามความเป็นจริง 

แต่ถ้าเราจะปั้นใจให้เป็นธรรม มันซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์คือศีลสมบูรณ์ ศีล สัมมาสมาธิ เวลาเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ายกขึ้นๆ ยกขึ้นให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันมีคุณค่านะ เพราะมีคุณค่ามันมีคุณค่าเพราะอัตตสมบัติ จิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย

ถ้าคำว่า “ไม่มีต้นไม่มีปลาย” เราทำสิ่งใดกันมาตั้งแต่อดีตชาติ เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี่ แล้วเวลาถ้าชีวิตนี้สิ้นไป เราจะไปไหน เวลาเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เศรษฐีกระฎุมพีมีทุกข์ทั้งนั้น แล้วเวลาเขามีสัมมาอาชีวะอาชีพของเขา เราเห็น เห็นไหม เขาปั้นดินให้เป็นดาว เขามีชื่อเสียงเขามีกิตติศัพท์ กิตติคุณ เขาประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขาก็ตายหมด แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นไหม มันเป็นชั่วชีวิตหนึ่ง 

แต่ถ้าเราปั้นใจให้เป็นธรรม ที่มาก็มาเหมือนกันนี่แหละ แต่ในปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญา แล้วเราจะเอาความจริงของเรา แล้วถ้าเราทำความจริงของเรา มันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เป็นจริงขึ้นมา มีกิจจญาณมีสัจจะ สัจจะความจริงมันมี กิจจญาณคือการกระทำมันมี ความเป็นจริงมันมี ถ้าจะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ ต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องมีความจริงอย่างนี้ แล้วมีความจริงอย่างนี้ ถ้าเรามีความจริงเราประสบความเป็นจริงอย่างนี้ 

แล้วครูบาอาจารย์ที่เทศนาว่าการเรามา ท่านไม่มีความจริงท่านพูดคร่อมไป พูดขาด พูดเกิน พูดไปโดยไม่มีน้ำหนักไม่มีร่องรอยมันจะเป็นจริงไหม มันจะเป็นความจริงไหม ถ้าไม่เป็นความจริง นี่ไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราฟังธรรม ฟังธรรมออกเลยล่ะ ฟังว่าสิ่งที่พูดว่ามันจริงหรือไม่จริง นั้นมันเรื่องของเขานะ แต่เราจะปั้นใจให้เป็นธรรม เรื่องของเรา เราต้องมีความวิริยะมีความอุตสาหะ ความวิริยะ ความอุตสาหะ เห็นไหม ขิปปาภิญญาผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขาต้องได้ทำบุญกุศลของเขามามาก เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จ เขาทำสิ่งใดจิตเขาสงบ แล้วเขาใช้ปัญญาของเขา 

แล้วถ้าเขาใช้ของเขานะ ถ้าคนที่มีคุณธรรม เห็นไหม พระโสดาบันไม่สีลัพพต-ปรามาส ถ้าเริ่มต้นเข้าสู่โสดาบันแล้วไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทำสิ่งใดให้โอกาสที่ปฏิบัติมันยาก พระโสดาบันไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำศีล สีลัพพตะไม่กล้าลูบคลำเพราะอะไร เพราะอยากได้สกิทาคามี อยากได้อนาคามี อยากสิ้นกิเลสไป ฉะนั้น พระโสดาบันจะรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต

คำว่า “รักษายิ่งกว่าชีวิต” เขาจะปดไหม เขาจะพูดโกหกมดเท็จไหม มันเป็นไปไม่ได้ แต่นี่เห็นพระอรหันต์โกหกมดเท็จทั้งนั้นเลย พระอรหันต์มีแต่หลอกลวง พระอรหันต์อะไรเป็นอย่างนั้น พูดจาไม่มีหลักมีเกณฑ์ พูดจานี่ปลิ้นปล้อน แม้แต่เอกสารเซ็นยังเซ็นผิดเซ็นถูก ไม่ยอมรับอะไรเลย มันเป็นพระอรหันต์มาได้อย่างไร

แต่ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม เราเอาความจริงของเรา ถ้าความจริงของเราเพราะอะไร นั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเขา เขาจะปั้นดินให้เป็นดาว ถ้าเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเขาก็จะมีชื่อเสียงมีกิตติศัพท์ กิตติคุณของเขา

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ป่าอยู่เขาตลอด ท่านไม่สนใจนะ แต่มันเป็นจริงเอง ทำด้วยอำนาจวาสนาบารมี ชื่อเสียงระบือลือลั่น แต่คุณธรรมชื่อเสียงขนาดนั้น แต่หลวงตาท่านเล่าให้ฟังตลอดว่าท่านอุปัฏฐากมา ๘ ปี ว่าหลวงปู่มั่นท่านประหยัดมัธยัสถ์ ท่านกระเหม็ดกระแหม่ เพราะท่านทำเป็นตัวอย่าง ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ทั้งๆ ที่จิตใจของท่านนะ เวลาท่านสอนเรา ท่านบอกเรา ท่านเอาชีวิตของท่าน ท่านทำให้เราดูเลย ถ้าเป็นความจริงมันเป็นแบบนั้น นี่ปั้นใจให้เป็นธรรม ท่านทำให้ดูด้วย ท่านสั่งสอนเราด้วย ท่านวางเป็นรูปแบบด้วย แล้วก็เป็นคุณสมบัติของท่าน เป็นคุณธรรมของท่าน 

แต่ถ้าเราเอาสิ่งนั้นมาเป็นครูเป็นอาจารย์ มาเป็นแบบอย่าง เห็นไหม แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราไม่ต้องไปฟังเสียงใครเลย นั้นเป็นเสียงโลก เราจะเอาความจริงของเรา ถ้าเอาความจริงของเรา เห็นไหม ตั้งใจ จะสะดวก จะขัดสน จะปฏิบัติแล้วมันไม่ได้สมดังใจ นี้เราทำมา ต้องยืนยันอย่างนี้ เราทำมา เราทำของเรามาขนาดนี้ 

แต่ในปัจจุบันนี้เราเชื่อมั่น เรามีครูมีอาจารย์อยู่แล้ว แล้วครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสมบูรณ์ของท่านแล้ว แล้วมีครูบาอาจารย์ต่อเนื่องๆ มา เราจะไปตื่นเต้นอะไร เพียงแต่ว่าเราทำของเราให้จริงขึ้นมา ถ้ามันจริงขึ้นมา ทำความสงบใจให้ได้ ถ้าใจสงบแล้วเราจะปั้นใจ ปั้นใจคือยกขึ้นสู่วิปัสสนา

แล้วถ้ามันวิปัสสนา วิปัสสนา เห็นไหม เวลามันปล่อยวางนั้นคือชั่วคราว การปล่อยวาง เห็นไหม ตทังคปหาน การปล่อยวางชั่วคราว คำว่า “ชั่วคราว” เกือบเป็นเกือบตายนะ คำว่า “ชั่วคราว” เราทำมาเกือบ... ครูบาอาจารย์ท่านชีวิตแลกมาทั้งนั้น แล้วชีวิตแลกแล้วมันยังไม่สมุจเฉทคือมันไม่จบ ในเมื่อมันยังไม่จบมันคลายได้ ถ้ามันยังไม่จบมันเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นกุปปธรรม ยังเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา คำว่า อนตฺตา มันยังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่เราพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ด้วยความมุมานะ ด้วยความหมั่นเพียรของเรา ด้วยการถนอมรักษา ด้วยพยายามรักษาใจของเราไว้ เราจะปั้นใจให้เป็นธรรมๆ การปั้นมันต้องผ่านวิกฤติกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สมุทัย ความเผอเรอ ความมักง่าย ความต่างๆ มันสอดแทรกมาตลอดโดยเราไม่รู้ตัว เราไม่เท่าทันมัน มันก็ปล่อยวาง ปล่อยวางก็ยังปล่อยวางด้วยตทังคปหาน แล้วเราก็ฟื้นสติกลับมา เราทำความสงบใจเข้ามา แล้วพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เพราะมันไม่มีสิ่งใดบอกเหตุ มันไม่มีขณะจิตไง 

แต่พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันปล่อยวางโดยตทังคปหานน่ะจริง แล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความชำนาญ เวลามันสมุจเฉทนะ มันมีความแตกต่าง คนเรายังไม่เคยสมุจเฉท-ปหานมันจะไม่รู้หรอก ว่าสมุจเฉทปหานกับตทังคปหานแตกต่างกันอย่างใด มันมีความแตกต่าง ถ้าไม่มีความแตกต่างมันไม่ต้องมีชื่อแตกต่างกันหรอก ชื่อมันแตกต่างว่าตทังคปหานกับสมุจเฉทปหาน นี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นของใคร มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกชัดๆ 

แล้วคนที่ปฏิบัติไป ไปรู้ไปเห็น ได้ชื่อมันมาตลอด แล้วพอไปเห็นสมบูรณ์ เห็นตัวของมัน ถึงกับอ้อสมุจเฉทปหานมันเป็นแบบนี้ ขณะจิตที่เปลี่ยนแปลง ขณะจิตที่มันเป็นไป ขณะจิตที่มันพัฒนาไป มันเป็นบุคคล ๔ คู่เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม ถ้าสมุจเฉทปหานแล้วมันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมพ้นจากความเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นอกุปปธรรม ธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมที่คงที่ ธรรมที่ไม่มีการโยกคลอน อกุปปธรรม จิตดวงนั้นคงที่ตายตัว

ปั้นใจให้เป็นธรรม ใจมันจะเป็นธรรมด้วยความวิริยะ ด้วยความอุตสาหะ ด้วยการกระทำของเรา ไม่ใช่ด้วยใครมอบให้ ไม่ใช่ด้วยใครรับรองให้ มันจะเป็นความจริงของเรา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก เอวัง